รายได้มากแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าคุณมี “เงินเก็บ” แล้วหรือยัง?
ที่ผมเอาเรื่องนี้มาฝากทุกๆท่านเพราะ ไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสพบกับน้องคนนึงที่ผมไปวางแผนการเงินให้ โดยจากการสัมภาษณ์เพื่อทำแผนการเงิน ซึ่งผมต้องขอข้อมูลเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่าย เพื่อทำงบกระแสเงินสด
ปรากฎว่า รายได้ของน้องคนนี้ อายุประมาณ 25 ปี รายได้เดือนนึงประมาณ 15,000 บาท ครับ ทำงานประจำที่บริษัทเอกชนแห่งนึง ด้านบัญชี ปรากฎว่าน้องคนนี้มีรายเหลือ ต่อเดือนคือ 3,000-4,000 บาท ทุกเดือน โดยมีค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ดังนี้
– ค่ากินอยู่ 7,500 บาท/เดือน
– ค่าเดินทาง 2,500 บาท/เดือน
– ค่าซื้อของที่ชอบ 1,000 บาท/เดือน
– ให้แม่ 1,000 บาท/เดือน
ซึ่งพอดีน้องคนนี้ยังไม่มีภาระผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เพราะ ยังอยู่กับพ่อแม่ รวมถึงการเดินทางก็ใช้รถประจำทาง สองแถว หรือไม่ก็ BTS แล้วแต่โอกาส
โดยน้องท่านนี้ก็เก็บเงินมาได้ประมาณ 2 ปีละ ก็มีเงินเหลือในบัญชีธนาคารประมาณ 100,000 บาท ซึ่งพอดีทางบริษัทก็มีโบนัสปลายปี ประมาณ 2 เดือน ก็เลยทำให้พอมีเหลือ แม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะมีการถอนไปจ่ายค่ามือถือใหม่บ้างแล้ว
ซึ่งน้องท่านนี้มีต้องการเน้นการอยากวางแผนเกษียณ ซึ่งก็คงต้องใช้เงินจากที่เหลือต่อเดือน มาเก็บออม ซึ่งสุดท้ายน้องท่านนี้ก็ขอเริ่มต้นออมที่เดือนละ 2,000 บาท (ปีละ 24,000 บาท ก่อน)
ซึ่งจากเคสนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ว่า “การเก็บเงินนั้น ไม่สำคัญว่าเราจะมีรายได้มากแค่ไหน แต่สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะเริ่มเก็บให้ตัวเองเท่าไหร่ต่างหาก” เพราะ หลายๆคนแม้ว่าจะมีรายได้มาก บางคนอาจมีรายได้ 4-5 หมื่นต่อเดือน แต่พอจะให้เริ่มเก็บ มักจะบอกว่าตอนนี้ภาระเยอะ ยังต้องผ่อนบ้านอยู่เลย ยังผ่อนรถอยู่เลย เดี๋ยวหมดภาระก่อนค่อยเก็บนะ
ซึ่งเวลาเก็บเงินของเรานั้น ถ้ายิ่งเราเริ่มช้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเก็บยากขึ้นเท่านั้นครับ บางคนผมเจอคนที่มีรายได้ 6 หลักต่อเดือน แต่พอสัมภาษณ์กลับมาภาระหนี้สิน แถมต้องมาดูรายรับรายจ่าย แทบจะไม่เหลือเลย (บางคนเหลือแบบไม่ถึง 1,000 บาท ก็มี )
ดังนั้นอยากให้ทุกๆท่านจำไว้นะครับ ว่า “หาเงินเก่ง ก็ไม่ดีเท่าเก็บเงินเก่ง” ครับ “แต่ถ้าหาเงินเก่ง แถมเก็บเงินเก่งด้วย” นี่เค้าเรียกว่า “ว่าที่มหาเศรษฐี” เลยนะครับ
ขอให้ทุกๆคน มีเงินเก็บเยอะๆนะครับ
By
สุรกิจ พิทักษ์ภากร
นักวางแผนการเงิน CFP
#wealthplanner